วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไหว้สักการะขอพร 7 องค์เทพ ทำบุญ ไหว้พระ เสริมดวงปีใหม่ ที่ ย่านราชประสงค์

พร้อมแนะนำเครื่องสักการะที่เหมาะสม ตามไปดูกันเลย


ทำบุญ ไหว้พระ เสริมดวงสงกรานต์ 2556ทำบุญ ไหว้พระ เสริมดวงปีใหม่

การกราบไหว้สักการะสิ่งศักสิทธิ์เพื่อเป็นการเสริมมงคลต้อน
รับปีใหม่ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอยู่เสมอ ย่านราชประสงค์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างพากันมากราบไหว้ขอพรจากองค์เทพทั้ง 7 พระองค์ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูโบราณ ในทุกเทศกาลสำคัญ เพื่อเสริมมงคล สร้างความอิ่มกาย และอุ่นใจ ในการดำเนินชีวิตตลอดปี


ทำบุญ ไหว้พระ เสริมดวงปีใหม่ 2557


องค์เทพทั้ง 7 พระองค์ที่เป็นสิ่งศักสิทธิ์คู่ย่านราชประสงค์ประกอบด้วย

1.ท้าวมหาพรหม
2.ท้าวอัมรินทราธิราช
3.พระน
ารายณ์
4.
พระนารายณ์ 
5.พระตรีมูรติ
6.พระแม่ลักษมี
7.พระแม่อุมาเทวี

ซึ่งแต่ละองค์ล้วนประทานพรเสริมความแข็งแกร่งให้จิตใจแก่ผู้กราบไหว้ในด้านที่แตกต่างกัน ซึ่งการกราบไหว้นั้นควรเข้าสักการะที่ศาล ท่านท้าวมหาพรหม เป็นที่แรกเนื่อง จากเป็นมหาเทพที่อยู่เคียงคู่ย่านราชประสงค์เป็นองค์แรก จากนั้นสามารถเดินเข้าสักการะอีก 6 องค์เทพได้ตามอัธยาศัย หรือจะลองเดินตามเส้นทางที่แนะนำก็ได้


ทำบุญ ไหว้พระ เสริมดวงสงกรานต์ 2556


เริ่มจาก 1. ท้าวมหาพรหม หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีในนาม พระพรหมเอราวัณ

ศาล ท่านท้าวมหาพรหมเป็นที่นิยมบูชาและเป็นที่นับถือมากที่สุดในย่านราชประสงค์ มีผู้เข้ามาสักการะขอพรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลายล้านคนต่อปี ศาลท่านท้าวมหาพรหม ก่อตั้งเมื่อปี 2501 ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พระพรหมเป็นผู้สร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพสูงสุด พระองค์ทรงมีชื่อเสียงในเรื่องทรงเปี่ยมไปด้วยเมตตา และทรงรับฟังคำขอ คำสวดภาวนาของทุกคน และทรงทำให้ผู้สักการะที่มีจิตใจศรัทธาสมความปรารถนา หากผู้ใดต้องการมากราบไหว้ให้เตรียม ดอกมะลิ หรือดอกดาวเรือง ขนมหวานรสอ่อน ผลไม้ หรือธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง มาเพื่อสักการะขอพรจะยิ่งเป็นมงคลแก่ตัว ศาลท่านท้าวมหาพรหม  ตั้งอยู่ที่ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ



2. ท้าวอัมรินทราธิ
ราช

มหา เทพที่ยิ่งใหญ่ผู้ดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลก  มีหน้าที่ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ ผู้ใดที่เคารพบูชาท่านจะทำให้สามารถรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง ทำให้สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ถูกต้อง

หากผู้ใดต้องการมากราบไหว้ให้เตรียม พวงมาลัยดอกดาวเรือง และตุ๊กตาช้าง เพื่อนำมาสักการะขอพร รูปเคารพองค์อัมรินทราธิราช ประดิษฐานอยู่หน้าศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า


3. พระนารายณ์หรือพระวิษณุ

1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลก พระองค์ทรงเปรียบประดุจดั่งเทพเจ้าแห่งความเมตตา พระอำนาจของพระองค์สามารถขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดี และช่วยปกป้องจากภยันตรายทั้งปวง ผู้ที่เข้ามาสักการะส่วนใหญ่จะมาเพื่อ ขอพรให้ธุรกิจการค้าของตนเองเจริญรุ่งเรือง และขจัดอุปสรรคปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิต

เครื่องสักการะองค์พระนารายณ์ ได้แก่ พวงมาลัยดอกดาวเรือง ผ้าไทย และขนมไทย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด รูปเคารพองค์พระนารายณ์ประดิษฐานอยู่หน้าโรงแรมอินเตอร์ คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ



4. 
พระพิฆเนศวร

มหาเทพที่ผู้คนนับถือในฐานะเทพแห่งศิลปวิทยาการ ขจัดอุปสรรค และอำนวยความสำเร็จในทุกสิ่ง
ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งสากล ที่มีผู้เคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่งในทั่วโลก ปัจจุบันหากใครจะประกอบพิธี หรือทำกิจกรรมใด การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มักจะต้องบอกกล่าวบูชาองค์พระพิฆเนศวรก่อนเป็นลำดับแรกจึงจะเป็นสิริมงคลและประสบความสำเร็จ

เครื่องสักการบูชาองค์พระพิฆเนศวร ได้แก่ พวงมาลัยดอกดาวเรือง กล้วย อ้อยหรือน้ำอ้อย มะม่วงสุก ทับทิม นมสดและนมเปรี้ยว ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว เป็นต้น ศาลบูชาพระพิฆเนศวร ตั้งอยู่บริเวณลานด้านหน้าห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์




5. พระตรีมูรติ หรือ เทพทัตตาเตรยะ 

เป็น การรวมกันของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ถึง 3 พระองค์เข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ที่ถือว่าเป็น ผู้สร้าง  ผู้รักษา และผู้ทำลาย คน ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าหากบูชาพระตรีมูรติ จะมีความหมายที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งชีวิต ความรัก และการงาน โดยเฉพาะเรื่องความรักที่เคยมีคนประสบความสำเร็จจากการขอพระตรีมูรติมานับ ไม่ถ้วน โดยเครื่องสักการะ คือ  ธูปแดง 9 ดอก เทียนแดง กุหลาบแดง และผลไม้ รูปเคารพพระตรีมูรติ ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์



6. พระแม่ลักษมี

เทพ ผู้บันดาลโชคลาภ ความร่ำรวย และความอุดมสมบูรณ์ พระองค์มักประทานความสำเร็จในการประกอบกิจการ การเจรจาต่อรอง การทำมาค้าขาย การประกอบธุรกิจทุกสาขา
เป็นเทพที่นักธุรกิจ และผู้ประกอบการค้าขายให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เครื่องสักการบูชา คือ ดอกบัวบานสีชมพูเข้ม เหรียญหรือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์แสดงความมั่งคั่ง และอ้อยหรือน้ำอ้อย

รูปเคารพของพระนางสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2539 ณ บริเวณดาดฟ้า ชั้นสี่ ศูนย์การค้าเกสรพลาซ่า



7. พระแม่อุมาเทวี หรือ ปารวตี

พระ นามแห่งพระแม่ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมีอันสูงสุด เชื่อกันว่าพระองค์จะประทานพรด้านความสมบูรณ์ ความอิ่มเอม ความสุขในการครองเรือน เพื่อครอบครัวที่เปี่ยมสุข
โดยเครื่องสักการะควรเป็น ขนมที่มีรสชาติมัน ปราศจากเนื้อสัตว์ และไม่มีกลิ่นหอมแรงเกินไป รวมถึงผลไม้ และธัญพืชทุกชนิด รูปเคารพของพระแม่อุมาเทวี ก่อตั้งเมื่อ ปี 2554 ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหน้า บิ๊กซี ซูปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขา ราชดำริ


การ เริ่มต้นปีใหม่ที่ดีนำมาซึ่งความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปไหนในวัดหยุดยาวช่วงสงกรานต์ แนะนำให้ ลองชวนครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก มาสักการะขอพรจากองค์เทพทั้ง 7  พระองค์ ที่ ย่านราชประสงค์ ดูสักครั้ง เพื่อเติมเต็มทั้งพลังกายและพลังใจ เพื่อเริ่มต้นรอรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามาถึงตลอดปี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
http://www.dailynews.co.th/article/821/20473

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:
http://www.bangkokbiznews.com/home/news/pr-center/detail-news.php?id=17924

ที่มา http://variety.horoworld.com

คืนความหนุ่มสาวคลิกเลย

http://powerbak.lnwshop.com/

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คาถาสักการะบูชา ร.5 และประวัติวันปิยมหาราช

คาถาสักการะบูชา ร.5 และประวัติวันปิยมหาราช



วันปิยมหาราช ตรง กับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน" ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น "วันปิยมหาราช" และ เหตุนี้เองทำให้คนที่เคารพนับถือ สมเด็จพระปิยมหาราช ต่างพากับไปถวายเครืองสักการะ เพื่อขอพรให้ท่านคุ้มครอง ซึ่งนิยมไปกันที่ลานพระบรมรุปทรงม้า โดยสิ่งหลักๆ ที่นำไปสักการะบูชาได้แก่

วันปิยมหาราช

เครื่องสักการะให้ถวาย

1. น้ำมะพร้าวอ่อน 

2. กล้วยน้ำว้า 

3. ทองหยิบ 

4. ทองหยอด 

5. บรั่นดี 

6. ซิการ์ 

7. ข้าวคลุกกะปิ 

8. ดอกกุหลาบสีชมพู
สำหรับผู้บูชาครั้งแรกให้จุดธูป 16 ดอก ส่วนครั้งต่อไปจุด 9 ดอก ว่าคาถาดังนี้ 
พระคาถาบูชาดวงวิญญาณเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5
 "นะ โม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ" (กล่าว 3 ครั้ง)
พระคาถาบูชาพระพุทธเจ้าหลวง แบบย่อ 

"พระ สะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ" หรือแบบเต็ม "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) 

อิ ติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ พระสะยามะมินโท วะโร อิติ พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง สะหัสสะกายัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ มาสีสะมานัง"

พระคาถาอธิษฐานขอพร แต่ห้ามบนบาน 

"นะ โม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) พระสยามะมินโท วะโร อัตตัง พุทธะสังมิ อิติ อะระหัง วะรัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปิโย เทวามนุสสานัง" 

จง เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ปิโย นาคะสัมปันนานัง จงบังเกิดความรักที่มีอนุภาคสูงสุด ปิโย พรหมานะมุตตะโม จงบังเกิดความรักกับผู้มีอำนาจท่านท้าวมหาพรหม เจ้าจอม อินทรา นาค ครุฑ และคนธรรพ์ ปินันทิยัง นะมามินัง ความรัก ความยินดี ความเมตตา จงบังเกิดในเรือนร่างข้าพเจ้าทุกส่วนแม้ปลายเส้นผม

"ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ (5 จบ) ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า (นาย นาง นางสาว) ชื่อ...นามสกุล... ต้องการให้พระองค์ท่านช่วยเรื่อง... อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะ นาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ ปิยะ มะมะ นะโม พุทธายะ (3 จบ) พระพุทธเจ้าขอรับด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะขอให้บุญบารมีขององค์เสด็จพ่อ ร.5 สูงยิ่งๆ ขึ้น และแกร่งกล้ายิ่งๆ ขึ้น"


ขอบคุณขอมูลจาก http://board.palungjit.com , wikipedia 
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://th.wikipedia.org
 
วันปิยมหาราช - 23 ตุลาคม
ความเป็นมา :  
     เนื่อง จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั่วขอบขัณฑสีมาปวงประชาราษฎร์ถือว่าพระองค์คือพระราชบิดาแห่งตนและ ประเทศชาติ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวัน “ปิยมหาราช” และเมื่อถึงวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว

พระราชประวัติ  
     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ และสมเด็จพระเทพศิริน-ทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 พระนามเดิมว่า“สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์” เมื่อพระชนม์ 9 พรรษาได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ ต่อมาอีก 4 ปี ได้เลื่อนเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ”
สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์

      บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่อง จากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญพระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๑

     ระหว่างที่ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทย ให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืนและนั่งตามโอกาสสมควรไม่จำเป็นต้องหมอบคลาน เหมือนแต่ก่อน
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒

     เมื่อมีพระชนมายุใกล้บรรลุนิติภาวะจึงได้เสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2416 และลาผนวช เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2416 แล้วโปรดให้มีการราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2416 เพื่อแสดงให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบว่าพระองค์ทรงรับผิดชอบในการปกครอง บ้านเมืองด้วยพระองค์เองแล้ว

พระราชานุสาวรีย์ :
     รัชสมัยของพระองค์ เป็นรัชสมัยแห่งการปฏิวัติแทบจะทุกทาง เหตุนี้ประชาชนจึงพร้อมใจกันเรี่ยไรเงินสร้างอนุสาวรีย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระองค์ บังเอิญประจวบเหมาะกับพระองค์เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2450 ทรงพอพระทัยพระบรมรูปหล่อของพระเจ้าหลุยส์จึงขอให้พระองค์ไปประทับนั่งให้ ชาวฝรั่งเศสปั้น แล้วหล่อส่งเข้ามาในประเทศ โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451

     พระบรมรูปทรงม้านี้ ขนาดทั้งพระบรมรูปและม้า ทรงทำโตกว่าของจริงเล็กน้อย โดยหล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์ พระบรมรูปประดิษฐานบนแท่นหินอ่อนอันเป็นแท่นรองสูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร

     พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์บดิน ทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงษวรุตมพงษบริพัต วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จดำรงราชสมบัติมาถึง 42 ปีเต็มบริบูรณ์ เป็นรัชสมัยที่ยืนนานยิ่งกว่าสมเด็จพระมหาราชาธิราชแห่งสยามประเทศในอดีตกาล

     พระองค์กอร์ปด้วยพระราชกฤษฎาภินิหาร เป็นอัจฉริยภูมิบาลบรมบพิตร เสด็จสถิตในสัจธรรมอันมั่นคงมิหวั่นไหว ทรงอธิษฐานพระราชหฤทัยในทางที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้สถิตสถาพรและให้ เกิดความสามัคคีสโมสร เจริญสุขสำราญทั่วไปในเอนกนิกร ประชาชาติเป็นเบื้องหน้า พระราชจรรยาทรงพระสุขุมปรีชาสามารถสอดส่องวินิจฉัย ในคุณโทษแห่งประเพณีเมือง ทรงปลดเปลื้องโทษ นำประโยชน์มาบัญญัติ โดยปฏิบัติพระองค์ทรงนำหน้า ชักจูงประชาชน ให้ดำเนินตามในทางที่งามดีมีประโยชน์เป็นแก่นสาร พระองค์ทรงทำให้ความสุขสำราญแห่งประชาราษฎร์สำเร็จได้ ด้วยอาศัยดำเนินอยู่เนืองนิจในพระวิริยะและพระขันติคุณอันแรงกล้า ทรงอาจหาญในพระราชจรรยา มิได้ย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญ มิได้เห็นข้อขัดข้องอันเป็นข้อควรขยาด แม้ประโยชน์และความสุขในส่วนพระองค์ ก็อาจจะสละแลกความสุขสำราญพระราชทานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ โดยทรงพระกรุณาปรานี พระองค์คือบุรพการีของราษฎร เพราะเหตุเหล่านี้แผ่นดินของพระองค์จึงยิ่งด้วยความสถาพรรุ่งเรืองงาม มหาชนชาวสยามถึงความสุขเกษมล่วงล้ำอดีตสมัยที่ได้ปรากฏมา พระองค์จึงเป็นปิยมหาราช ที่รักของมหาชนทั่วไป

     ครั้นบรรลุอภิลักขิต สมัย รัชมังคลาภิเษก สัมพัจฉรกาล พระราชวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ราชบริพาร พร้อมด้วยสมณพราหมณ์ อาณาประชาชนชาวสยามประเทศทุกชาติทุกชั้นบรรดาศักดิ์ ทั่วรัชสีมาอาณาเขต มาคำนึงถึงพระเดชพระคุณอันได้พรรณนามาแล้วนั้น จึงพร้อมกันสร้างพระบรมรูปนี้ ประดิษฐานไว้สนองพระเดชพระคุณเพื่อประกาศเพื่อเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปิยมหาราช ให้ปรากฏสืบไปชั่วกาลปวสาน

     เมื่อสุรยคติกาล พฤศจิกายนมาศ เอกาทศดิถีพุฒวาร จันทรคติกาล กฤติกมาศ กาฬปักษ์ ตติยดิถี ในปีวอก สัมฤทธิมา 41 จุลศักราช 1270 (ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451)

พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 พระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี นับเป็นรัชสมัยที่ยืนนานที่สุดในประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลโดย : 
พระราชสุทธิญาณมงคล
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
 
1. การเลิกทาส พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”
ก็คือ “การเลิกทาส

     สมัย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป

     กฎหมาย ที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้ อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

     ในการนี้พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง
ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม
ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย

     พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ.2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

2. การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ การ บริหารแผ่นดินในต้นรัตนโกสินทร์นั้น คงดำเนินตามแบบที่ได้ทำมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ผิดแต่ว่ามีกรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลักของการบริหารนั้น คงมีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ว่าการฝ่ายทหาร สมุหนายก ว่าการพลเรือน ซึ่งแบ่งออกเป็นกรมเมืองหรือกรมนครบาล กรมวัง กรมคลัง และกรมนา

     ครั้นถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระองค์เองเมื่อ พ.ศ.2416 นั้น เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จต่างประเทศดูแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในสิงคโปร์ ชวา และอินเดียแล้ว ทรงพระราชปรารภว่า สมควรจะได้วางระเบียบราชการ บริหารส่วนกลางเสียใหม่ตามแบบอย่างอารยประเทศ โดยจัดจำแนกราชการเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นหมวดเหล่า ไม่ก้าวก่ายกัน ดังนั้นใน พ.ศ.2418 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แยกกระทรวงพระคลังออกจากกรมท่า หรือต่างประเทศ และตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำหน้าที่เก็บรายได้ของแผ่นดินทุกแผนกขึ้นเป็นครั้ง แรก

     ต่อจากนั้น ก็ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่ง ๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพอเหมาะสม

กระทรวงซึ่งมีอยู่ในตอนแรก ๆ เริ่มแถลงราชสมบัตินั้นเพียง 6 กระทรวง คือ
  1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ

  2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก ทหารเรือ

  3. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่บังคับบัญชาการรักษาพระนคร คือปกครองมณฑลกรุงเทพ ฯ

  4. กระทรวงวัง มีหน้าที่บังคับบัญชาการในพระบรมมหาราชวัง

  5. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดการอันเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และการพระคลัง

  6. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่จัดการไร่นา

เพื่อให้เหมาะสมกับสมัย จึงได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกระทรวงบางกระทรวง และเพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง คือ

กระทรวงกลาโหม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้พันเอกเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
สร้างตึกใหญ่ขึ้นที่ข้างพระบรมมหาราชวัง ใกล้ข้างศาลหลักเมือง ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ และโปรดให้สถาปนา
จากกรมขึ้นเป็นกระทรวง เมื่อ ๑ เมษายน ๒๔๓๔

1. กระทรวงการต่างประเทศ แบ่งหน้าที่มาจากกระทรวง การคลังเก่า มีหน้าที่ตั้งราชทูตไปประจำสำนักต่างประเทศ เนื่องจากเวลานั้นชาวยุโรปได้ตั้งกงสุลเข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพ ฯ บ้างแล้ว สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นเสนาบดีกระทรวงนี้เป็นพระองค์แรก และใช้พระราชวังสราญรมย์เป็นสำนักงาน เริ่มระเบียบร่างเขียนและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาทำงานตามเวลา ซึ่งนับเป็นแบบแผนให้กระทรวงอื่น ๆ ทำตามต่อมา

2. กระทรวงยุติธรรม แต่ ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีไม่ได้รวมอยู่ในกรมเดียวกัน และไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน เป็นเหตุให้วิธีพิจารณาพิพากษาไม่เหมือนกัน ต่างกระทรวงต่างตัดสิน จึงโปรด ฯ ให้รวมผู้พิพากษา ตั้งเป็นกระทรวงยุติธรรมขึ้น

3. กระทรวงโยธาธิการ รวบรวมการโยธาจากกระทรวงต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน และให้กรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมรถไฟรวมอยู่ในกระทรวงนี้ด้วย

4. กระทรวงธรรมการ แยก กรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย เอามารวมกับกรมศึกษาธิการ ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงธรรมการมีหน้าที่ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝึกหัดบุคคล ให้เป็นครู สอนวิชาตามวิธีของชาวยุโรป เรียบเรียงตำราเรียน และตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วราชอาณาจักร

     ทั้งนี้ได้ทรงเริ่มจัดการ ตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ.2431 จัดให้มีเสนาบดีสภา มีสมาชิกเป็นหัวหน้ากระทรวง 10 นาย และหัวหน้ากรมยุทธนาธิการ กับกรมราชเลขาธิการ ซึ่งมีฐานะเท่ากระทรวงก็ได้เข้านั่งในสภาด้วย รวมเป็น 12 นาย พระองค์ทรงเป็นประธานมา 3 ปีเศษ

     แต่เดิมเสนาบดีมีฐานะต่าง ๆ กัน แบ่งเป็น 3 คือ เสนาบดีมหาดไทยกับกลาโหมมีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีนครบาล พระคลังและเกษตราธิการ มีฐานะเป็นจตุสดมภ์ เสนาบดีการต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกันว่า เสนาบดีตำแหน่งใหม่ ครั้นเมื่อมีประกาศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จึงเรียกเสนาบดีเหมือนกันหมด ไม่เรียกอัครเสนาบดีและจตุสดมภ์อีกต่อไป


3. การศึกษา ใน รัชกาลนี้ได้โปรดให้ขยายการศึกษาขึ้นเป็นอันมากใน พ.ศ.2414 ได้โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้า เรียน โรงเรียนภาษาไทยนี้ โปรดให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ ต่อมาตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง ให้นายยอช แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนทั้งสองนี้ขึ้นอยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก

ห้องเรียนนักเรียนสมัยแรกที่เริ่มให้การศึกษาแก่ประชาชน

     ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นและจัดตั้งขึ้นตามวัด ต่างๆ ตามประเพณีนิยมของราษฎร โรงเรียนหลวงนี้ได้จัดตั้งขึ้นที่ “วัดมหรรณพาราม” เป็นแห่งแรก แล้วจึงแพร่หลายออกไปตามหัวเมืองทั่ว ๆ ไป โปรดให้ตั้งกรมศึกษาธิการ ขึ้นในปี พ.ศ.2428 และจัดให้มีการสอบไล่ครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ต่อมาในปี พ.ศ.2433 ได้มีการปฏิวัติแบบเรียน โดยให้เลิกสอนตามแบบเรียน 6 กลุ่ม มีมูลบทบรรพกิจเป็นต้น ของพระยาศรีสุนทรโวหาร มาใช้แบบเรียนเร็วของกรมพระยาดำรงราชานุภาพแทน ในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น จัดการศึกษาและการศาสนาขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 การศึกษาก็เจริญก้าวหน้าสืบมาโดยลำดับ

4. การศาล แต่ เดิมมากรมต่าง ๆ ต่างมีศาลของตนเองสำหรับพิจารณาคดี ที่คนในกรมของตนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้น แต่ศาลนี้ก็เป็นไปอย่างยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ ใน พ.ศ.2434 จึงได้ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อรวบรวมศาลต่าง ๆ ให้มาขึ้นอยู่ในกระทรวงเดียวกัน นอกจากนั้นในการพิจารณาสอบสวนคดี ก็ใช้วิธีจารีตนครบาล คือ ทำทารุณต่อผู้ต้องหา เพื่อให้รับสารภาพ เช่น บีบขมับ ตอกเล็บ เฆี่ยนหลัง และทรมานแบบอื่น ๆ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ต้องหาทนไม่ไหว ก็จำต้องสารภาพ จึงได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น ใช้วิธีพิจารณาหลักฐานจากพยานบุคคลหรือเอกสาร ส่วนการสอบสวนแบบจารีตนครบาลนั้นให้ยกเลิก

     ได้จัดตั้งศาลโปริสภาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2435 ต่อมาได้จัดตั้งศาลมณฑลขึ้น โดยตั้งที่มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรก และขยายต่อไปครบทุกมณฑล

5. การคมนาคม ได้ โปรดให้สร้างถนนและสะพานขึ้นเป็นอันมาก ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขยายถนนบำรุงเมือง ถนนที่ทรงสร้างใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ๆ ทรงสละพระราชทรัพย์สร้างสะพานขึ้น ซึ่งมีคำว่า “เฉลิม” นำหน้า เช่น สะพานเฉลิมศรี สะพานเฉลิมสวรรค์ สะพานอื่น ๆ ที่สำคัญทรงสร้างขึ้น เช่น สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพานเทวกรมรังรักษ์ โปรดให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก
สะพานหัน สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

     ใน พ.ศ.2433 โปรดให้สร้างทางรถไฟตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงจังหวัดนครราชสีมา ทรงเปิดทางตอนแรกตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงอยุธยาก่อน ใน พ.ศ.2439 สายต่อ ๆ ไปที่โปรดให้สร้างขึ้นในภายหลังคือ สายเพชรบุรี สายฉะเชิงเทรา สายเหนือเปิดใช้ถึงชุมทางบ้านดารา จังหวัด อุตรดิตถ์ ให้สัมปทานเดินรถรางและรถไฟในกรุงเทพ ฯ สมุทรปราการ กับรถไฟในแขวงพระพุทธบาท ตลอดจนจัดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพ ฯ กับสมุทรสงคราม

     การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โทรเลขสายแรกที่สุด คือ ระหว่างจังหวัดพระนครกับจังหวัดสมุทรปราการ

6. การสุขาภิบาล ใน ส่วนการบำรุงความสุขของพลเมืองนั้น ได้ทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อดูแลจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรคจิต และโรงเลี้ยงเด็ก นอกจากนี้ได้ส่งแพทย์ออกเที่ยวปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษและป้องกันอหิวาตกโรค โดยไม่คิดมูลค่า ใน พ.ศ.2436 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี จัดสร้าง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “สภากาชาดไทย” ต่อมาสภาได้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จ มาเสร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์” ใน พ.ศ.2457
ที่ตั้งสำนักงานการประปานครหลวงแห่งแรกบริเวณแยกแม้นศรี

     ใน พ.ศ.2446 ได้ทรงจ้างช่างฝรั่งเศสเป็นนายช่างสุขาภิบาล จัดหาน้ำสะอาดให้ชาวพระนครบริโภค แต่การนี้มาสำเร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า “การประปา” อนึ่งในปีเดียวกันนั้น โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง “โอสถสภา” ขึ้น จัดทำยาตำราหลวงส่งไปจำหน่ายตามหัวเมืองในราคาถูก

7. การสงครามและการเสียดินแดน ใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะได้ทรงเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการประเทศในลักษณะที่เรียกกันว่า “พลิกแผ่นดิน” หรือ “ปฏิวัติ” ก็ตาม แต่ในด้านการเกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกซึ่งได้ยื่นมือเข้ามาต้องการดินแดนของ เรา ตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ นั้น ได้ทำให้เราต้องเสียดินแดนต่าง ๆ ไปในรัชกาลนี้อย่างมากมายและเป็นการเสียจนครั้งสุดท้าย ซึ่งการเสียแต่ละครั้งนั้น หากจะนำมากล่าวโดยยืดยาวก็เกินความจำเป็น ฉะนั้นจึงจะนำมากล่าวเฉพาะดินแดนที่เราเสียไปเท่านั้น ดินแดนที่เราเสียไปเพราะถูกข่มเหงรังแกจากฝรั่งเศส มีหลายคราวด้วยกัน คือ
  1. 1. พ.ศ.2431 เสียแคว้นสิบสองจุไทย และหัวพันทั้งห้าทั้งหก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 87,000 ตารางกิโลเมตร

  2. 2. พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดจนถึงเกาะต่าง ๆ ในลำน้ำโขง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร ทั้งยังต้องเสียเงินค่าปรับเป็นเงิน 2 ล้านฟรังค์ (คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในเวลานั้นประมาณ 1 ล้านบาท) และต้องถอนทหารจากชายแดนทั้งหมดและฝรั่งยึดจันทบุรีไว้เป็นการชำระหนี้

  3. 3. ในปี พ.ศ.2447 ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามหลวงพระบาง และตรงข้ามปากเซให้แก่ฝรั่งเศสอีก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 12,500 ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้เนื่องจากฝรั่งเศสไม่ยอมถอนทหารจากจันทบุรี เมื่อเสียดินแดนนี้แล้วฝรั่งเศสก็ถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่ไปยึดเมืองตราดไว้อีก โดยหาเหตุผลอันใดมิได้

  4. 4. เพื่อที่จะให้ฝรั่งเศสไปจากเมืองตราด ไทยต้องเสียสละ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ซึ่งไทยได้มาอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ พ.ศ.2352 ให้แก่ฝรั่งเศส โดยสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2449 ฝรั่งเศสยอมคืนเมืองด่านซ้าย เมืองตราด และเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่ไทย รวมดินแดนที่เสียไปครั้งนี้เป็นเนื้อที่ประมาณ 51,000 ตารางกิโลเมตร
 
     แต่การเสียดินแดนคราวสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส และคนในบังคับฝรั่งเศสได้หาไปขึ้นศาลกงสุลเช่นแต่ก่อนไม่

     ส่วนทาง ด้านอังกฤษนั้น ปรากฏว่าเขตแดนระหว่างมลายู ซึ่งเป็นของอังกฤษกับไทยยังหาปักปันกันโดยควรไม่ตลอดมาถึงปี พ.ศ.2441 ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทยและยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษทางรัฐบาล สหรัฐมลายู เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ

8. การเสด็จประพาส การ เสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ระหว่างที่ยังมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นก็ได้เสด็จประพาสชวา และอินเดีย เพื่อดูแบบอย่างการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในเมืองขึ้น เพื่อนำมาแก้ไขดัดแปลงใช้ในประเทศของเราบ้าง และการก็เป็นไปสมดังที่พระองค์ได้ทรงคาดการณ์ไว้ เพราะได้นำเอาวิธีการปกครองในดินแดนนั้น ๆ มาใช้ปรับปรุงระเบียบการบริหารอันเก่าแก่ล้าสมัยของเรา ซึ่งใช้กันมาตั้ง 400 ปีเศษแล้ว

     เมื่อได้เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์ นิโคลาสที่ ๒
แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ประเทศรัสเซีย

     ในการเสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2440 ได้มีกระแสพระราชปรารภมีข้อความตอนหนึ่งว่า พระองค์ได้เสด็จไปนอกพระราชอาณาเขตหลายครั้งคือ เสด็จประพาสอินเดีย พม่ารามัญ ชวาและแหลมมลายู หลายครั้ง ได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงใน ประเทศให้เจริญขึ้นแล้วหลายอย่าง แม้เมืองเหล่านั้นเป็นเพียงแต่เมืองขึ้นของมหาประเทศในทวีปยุโรป ถ้าได้เสด็จถึงมหาประเทศเหล่านั้นเองประโยชน์ย่อมจะมีขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งจะได้ทรงวิสาสะคุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์ และรัฐบาลของประเทศน้อยใหญ่ใน ยุโรปด้วย เป็นทางส่งเสริมทางไมตรีให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงได้ทรงกำหนดเสด็จพระราชดำเนินในวันที่ 7 เมษายน ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มีกำหนดเวลาประมาณ 9 เดือน

     การเสด็จประพาสต่างประเทศ ในขณะที่เสวยราชสมบัติระยะไกลเป็นเวลาเช่นนั้น นับเป็นครั้งแรกจึงได้ทรงออกพระราชกำหนด ตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินรักษาพระนคร ซึ่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินครั้งแรกนี้ ได้แก่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ซึ่งครั้งนั้นทรงเป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร (พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) กับทรงตั้งที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอชั้นผู้ใหญ่ 4 พระองค์ คือพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ 1 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุ-รังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ 1 กับมีข้าราชการชาวต่างประเทศ ซึ่งจ้างมารับราชการในประเทศไทยครั้งนั้น คือ โรลังยัคมินส์ ชาวเบลเยี่ยม ซึ่งได้บรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาอภัยราชา ร่วมด้วยอีก 1 ท่าน

     ในการ เสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตลอดระยะทาง พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวแก่สถานที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไปอย่างมากมาย

     ส่วนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จกลับแล้ว จึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

     ส่วน ภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้รู้สารทุกข์สุขดิบของราษฎรเป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ ไปโดยเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ แวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า “ประพาสต้น” ประพาสต้นนี้ได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง

9. การศาสนา ใน ด้านศาสนานั้นพระองค์มิได้ทรงละเลย ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกโดยแท้จริงในด้านพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะทรงบรรพชาเป็นสามเณรและทรงอุปสมบทด้วยแล้ว ยังให้ความอุปถัมภ์สงฆ์ 2 นิกาย ดังเช่น สมเด็จพระราชบิดา ในปี พ.ศ.2445 ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ เป็นการวางระเบียบสงฆ์มณฑลให้เป็นระเบียบทั่วราชอาณาจักร ให้กระทรวงธรรมการมีหน้าที่ควบคุมการศาสนา ทรงอาราธนาพระราชาคณะให้สังคายนาพระไตรปิฎก แล้วพิมพ์เป็นอักษรไทยชุดละ 39 เล่ม จำนวน 1,000 ชุด แจกไปตามพระอารามต่าง ๆ ถึงต่างประเทศด้วย ใน พ.ศ.2442 ทรงปฏิสังขรณ์วัดเบญจมบพิตร แล้วจำลองพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกมาประดิษฐานไว้ในวัดนี้ ทรงปฏิสังขรณ์วัดหลายวัด สร้างพระอารามหลายพระอาราม เช่น วัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) เป็นต้น

     ส่วน ศาสนาอื่น ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์ตามสมควร เช่น สละพระราชทรัพย์สร้างสุเหร่าแขก พระราชทานเงินแก่คณะมิชชันนารี และพระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์ที่ริมถนนสาธร

10. การวรรณคดี ใน ด้านวรรณคดีนั้น ในรัชกาลนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมราวกับปฏิวัติ คือ ประชาชนหันมานิยมการประพันธ์แบบร้อยแก้ว ส่วนคำประพันธ์แบบโคลงฉันท์กาพย์กลอนนั้น เสื่อมความนิยมลงไป หนังสือต่าง ๆ ก็ได้รับการเผยแพร่ยิ่งกว่าสมัยก่อน เพราะเนื่องจากมีโรงพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ได้จำนวนมาก ไม่ต้องคัดลอกเหมือนสมัยก่อน ๆ
พระราชหัตถเลขา

      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเป็นนักประพันธ์ ซึ่งมีความชำนาญทั้งทางร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่า พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น พระราชนิพนธ์เล่มหลังนี้ ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดความเรียงประเภทคำอธิบาย

ขอบคุณข้อมูลโดย : 
พระราชสุทธิญาณมงคล
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
Credit : Sanook.com
 
 

https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/10395834_1620594671501232_7980165694665493096_n.jpg?oh=22e15892220d1577798ea35da7b3acf7&oe=54B9AC97&__gda__=1421260200_4c5dae2df7ae0dc5067850b43ba9b3ce

http://powerbak.lnwshop.com/

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คือ การประกาศเลิกทาส ทำให้ปวงชนชาวไทยได้เป็นไทมาจวบจนทุกวันนี้

          ในรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ฯลฯ ด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวย ราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า "พระปิยมหาราช" หรือพระพุทธเจ้าหลวง และกำหนดให้ทุกวันที่ 23 ตุลาคม เป็น วันปิยมหาราช
 ความเป็นมาของ วันปิยมหาราช


          เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่ เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า

          ต่อมาในรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

          เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติฉัตร 5 ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

          พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์

 พระราชประวัติ


          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อ พระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ" ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมขุนพินิตประชานาถ" บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
          เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช

          ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม

          ในตอนนี้ยังได้ เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน

          เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน
          ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี



 พระราชกรณียกิจ

         พระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาทิเช่น

 1.การเลิกทาส

          เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช"
ด้วย พระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่ สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิด ขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปี ก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง จาก นั้นใน พ.ศ. 2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124" (พ.ศ. 2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

          ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ

 2.การปฏิรูประบบราชการ

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน จากเดิมมี 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงลาโหม, กระทรวงนครบาล, กระทรวงวัง, กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตราธิการ ได้เพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา, กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ , กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง และกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

 3.การสาธารณูปโภค
           การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2452

           การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย

          นอกจากนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน และถนนอีกมากมาย คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น และโปรดให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก

           การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ. 2431

           การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2433

           การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ


 4.การเสด็จประพาส

          การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลัง จากเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้น

          ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาตลอดระยะทางถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรม ราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ "พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน" ให้ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวแก่สถานที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไป

          ส่วนภายใน ประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่าง ๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2447 และในปี พ.ศ. 2449 อีกครั้งหนึ่ง


 5.การศึกษา

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ "โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา

 6.การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน

          เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมได้แผ่อิทธิพลเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังที่จะรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติ การณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม โดยดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่ 

           พ.ศ. 2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทย 
           พ.ศ. 2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีไว้ 
           พ.ศ. 2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสได้ยึดตราดไว้แทน 
           พ.ศ. 2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับตราด และเกาะทั้งหลาย แต่การเสียดินแดนครั้งสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใด  ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส ไม่ต้องไปขึ้นศาลกงสุลเหมือนแต่ก่อน

          ส่วนทางด้านอังกฤษ ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ. 2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทย และยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษ เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ


 ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น
           พ.ศ. 2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

           พ.ศ. 2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์

           พ.ศ. 2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา, โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย

           พ.ศ. 2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่, โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน, โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง

           พ.ศ. 2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี, โปรดให้เลิกประเพณีหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า

           พ.ศ. 2417 โปรด ให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน, ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง

           พ.ศ. 2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ–สมุทรปราการ, สมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน

           พ.ศ. 2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนคร, ตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2

           พ.ศ. 2427 โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม

           พ.ศ. 2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน

           พ.ศ. 2431 เสีย ดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส, เริ่มการทดลองปกครองส่วนกลางใหม่, เปิดโรงพยาบาลศิริราช, โปรดฯ ให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน

           พ.ศ.  2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม, ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

           พ.ศ. 2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ, กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)

           พ.ศ. 2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก

           พ.ศ. 2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส

           พ.ศ. 2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง

           พ.ศ. 2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า

           พ.ศ. 2453 เสด็จสวรรคต


ภาพประกอบจาก Blanscape / Shutterstock.com


 พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงม้า

          ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างอนุสาวรีย์ถวายเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระ เกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ผู้ทรงสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม และเนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์นานถึง 40 ปี
          พระบรมรูปทรงม้านี้ หล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์ พระองค์ใหญ่กว่าขนาดจริงเล็กน้อย ประดิษฐานบนแท่นหินอ่อนอันเป็นแท่นรองสูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร ห่างจากฐานของแท่นออกมามีรั้วเตี้ย ๆ ลักษณะเป็นสายโซ่ขึงระหว่างเสาล้อมรอบกว้าง 9 เมตร ยาว 11 เมตร ที่แท่นด้านหน้ามีคำจารึกบนแผ่นโลหะติดประดับสรรญเสริญว่า "คำจารึกฐานองค์พระบรมรูปทรงม้า ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลล่วงแล้ว 2451พรรษา จำเดิมแต่พระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ได้ประดิษฐาน แลดำรงกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยาเป็นปีที่ 127 โดยนิยม"

          สำหรับแบบรูปของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ได้จ้างช่างหล่อชาวฝรั่งเศส แห่งบริษัทซูซ เซอร์เฟรส ฟองเดอร์เป็นผู้หล่อ ณ กรุงปารีส เลียนแบบพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระราชวังแวร์ซายส์ ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2450 พระองค์ได้เสด็จประทับให้ช่างปั้นพระบรมรูป เมื่อวันที่ 22 สิงหคม ศกนั้น พระบรมรูปเสร็จเรียบร้อย และส่งเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ในทางเรือ

          เมื่อ พ.ศ.2451 โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ระหว่างพระราชวังสวนอัมพรกับบสนามเสือป่า ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 ตรงกับวันพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกครองราชสมบัติได้ 40 ปี
          เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้า ขึ้นประดิษฐานบนแท่นรองที่หน้าพระลานพระราชวังดุสิต ที่ประจักษ์อยู่ในปัจจุบันนี้ โดยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงอ่านคำถวายพระพรชัยมงคล เสร็จแล้วจึงน้อมเกล้าฯ ถวายพระบรมรูปทรงม้า กราบบังคมทูลอัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช พระราชบิดาให้ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อประกาศเกียรติคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้สถิตสถาพรปรากฏสืบไปชั่วกาลนาน


 กิจกรรมใน วันปิยมหาราช

          ในวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งราชการและภาคเอกชน นักเรียน-นิสิตนักศึกษา รวมทั้งประชาชนจะมาวางพวงมาลาดอกไม้สักการะ และถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว และทำบุญตักบาตอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว นอกจากนี้ในหน่วยงาน และโรงเรียน มหาวิทยาลัย จะจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นการประกาศเกียรติคุณให้ไพศาลสืบไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 
- nmm.ac.th
- ru.ac.th

ที่มา http://hilight.kapook.com

https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/10395834_1620594671501232_7980165694665493096_n.jpg?oh=22e15892220d1577798ea35da7b3acf7&oe=54B9AC97&__gda__=1421260200_4c5dae2df7ae0dc5067850b43ba9b3ce

http://powerbak.lnwshop.com/

 


วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูดวงปีชง 2558 วิธีแก้ปีชง 2558 มีอะไรบ้าง



ปีชง 2558 มีอะไรบ้าง 


ดูดวงปี 2558 ปีชง 2558 แก้ปีชง 2558 ปีชงปีมะแม (Horoworld)


          ปีชง 2558 มีอะไรบ้าง วิธีแก้ปีชง 2558 แก้ชงปี 2558 ทำอย่างไร วันนี้เรามีบทความเรื่องนี้มาฝาก

          ดูดวง Horoworld.com วันนี้ จะชวนเพื่อน ๆ มา ดูดวงปี 2558 ปีชง 2558 ปีมะแม โดยเฉพาะคนเกิด ปีฉลู ถือว่าชงแบบเต็ม ๆ 100% อีกทั้งคนที่เกิด ปีมะแม ปีมะโรง ปีจอ ซึ่งเป็นปีร่วมชงด้วยเหมือนกัน ว่าแต่จะมี วิธีแก้ชง 2558 แก้ปีชง 2558 ปีชงปีมะแม ที่ไหน อย่างไรบ้างนั้น มาดูกันเลย !

ปีชง 58 มีอะไรบ้าง วิธีแก้ชงปี 2558 ขุนพลเอี่ยเซียงไต่เจียงกุง

          ปีชง 2558 การ เริ่มต้นเข้าสู่ ปีชงปีมะแม นับตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือ วันขุนพลเอี่ยเซียงไต่เจียงกุงตรุษจีน 2558 ที่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อดวงปี 2558 ของคนที่มีปีเกิดตรงกับ ปีชง 2558 ได้แก่คนที่เกิดในปี ปีฉลู (ได้แก่คนที่เกิด พ.ศ. 2468, 2480, 2492, 2504, 2516, 2528, 2540, 2552) ส่วนคนที่เกิด ปีมะแม, มะโรง, จอ ซึ่งถือว่าเป็นปีร่วมชง (ได้แก่คนที่เกิด พ.ศ. 2459, 2462, 2465, 2471, 2474, 2477, 2483, 2486, 2489, 2495, 2498, 2501, 2507, 2510, 2513, 2519, 2522, 2525, 2531, 2534, 2537, 2543, 2546, 2549, 2555)
          ตามความเชื่อทางด้านโหรราศาสตร์ของจีน ว่ากันว่าในทุก ๆ ปี องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ผู้มีผลดลบันดาลให้เกิดความสุขและความทุกข์แก่มนุษย์โดยตรงทั้ง 60 พระองค์ โดยนับตามหลักจับกะจื้อ จะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแลโชคและเคราะห์ของแต่ละบุคคล

          ชาวจีนโดยทั่วไปเชื่อว่า องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย ทุก ๆ ปี ก็เป็นการเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชง การกราบไหว้องค์ไท้ส่วย ถือเป็นการไหว้เทพเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากคนที่ปีเกิดเป็นปีชงจะกราบไหว้บูชาเพื่อฝากดวงชะตา ให้องค์ไท้ส่วยช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยแล้ว คนที่เกิดปีนักษัตรอื่นก็สามารถกราบไหว้บูชาให้ความศรัทธาต่อองค์ไท้ส่วยที่ มาเฝ้าปีได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อการเป็นสิริมงคลหรือเสริมดวงให้คนที่ดวงดีอยู่แล้ว ก็ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก เรียกอีกอย่างว่าเป็นการไหว้เพื่อให้องค์ไท้ส่วยหนุนดวงชะตา ให้ชีวิตราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข โดยในปีนี้เทพพระเจ้าไท้ส่วยจะเสด็จมาทางทิศใต้ ซึ่งช่วงเวลาไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ดีที่สุดของปีนี้อยู่ระหว่างเวลา 00.01-00.59 น. เป็นช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 31 มกราคม

          องค์ไท้ส่วยที่รับหน้าที่เฝ้าในปี พ.ศ. 2558 นี้ ปีมะแม ตามปีใน 12 นักษัตร มีพระนามว่า ขุนพลเอี่ยเซียงไต่เจียงกุง

วิธีแก้ชง 2558 แก้ปีชง 2558  แก้ชงปีมะแม


          ให้ท่านเดินทางไปยัง ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ เพื่อทำพิธีฝากดวง แก้ชง กับองค์ไท้ส่วยเอี๊ย เพราะคนจีนเชื่อว่าองค์ไท้ส่วยเอี๊ยเป็นผู้คุมชะตามนุษย์ทุกคน ดังนั้นการไปไหว้ฝากดวง รวมทั้งการไหว้พระ 9 วัด จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมดวงให้ดีขึ้นได้

          ปีฉลู (วัว) ชง 100% โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตาไท้ส่วยเอี๊ย  และเป็นอริกับปีมะแมโดยตรง มีเคราะห์ถึงเลือดตกยางออก ดวงชะตาจะมีเกณฑ์ประสบอุบัติเหตุจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ

          ปีมะแม (แพะ) ชง 75% ทับไท้ส่วย กับปีมะแม ส่งผลให้ถูกเอาเปรียบจากเพื่อนฝูงคนสนิท ปีนี้ดวงท่านมีเกณฑ์ประสบทุกขลาภ

          ปีจอ (สุนัข) ชง 50% ปีร่วมชงไท้ส่วย มีทั้งเฮ้ง (เบียดเบียน) และ ผั่ว (แตกแยก) กับปีมะแมด้วย ทำให้ปีนี้มีคนคอยกลั่นแกล้ง ทำให้ชีวิตท่านพบแต่เรื่องวุ่นวายใจ

          ปีมะโรง (งูใหญ่) ชง 25% ปีร่วมชงไท้ส่วย ทำให้มีอุปสรรค ก้าวข้ามไม่พ้นเรื่องนานาปัญหา ความมั่นคงในชีวิตที่เคยมีอาจแย่ลง

วิธีการแก้ชง ไท้ส่วยเอี๊ย ทำได้ดังนี้

          1. เขียนชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิดของคุณ

          2. นำไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย หรือ เทพเจ้าแห่งดวงชะตา

          3. จุดธุูป 3 ดอก ให้ช่วยคุ้มครอง

          4. ถ้าเป็นของตัวเองให้นำกระดาษนั้นมาปัดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจนสุดแขน จำนวน 12 ครั้ง

          5. นำซองที่บรรจุดวงชะตานั้นฝากไว้ที่ศาลเจ้าเพื่อสวดมนต์ทำพิธีเสริมดวงชะตาของผู้ที่เกิดปีชงนั้น

วิธีการบูชา และ ของไหว้ องค์ไท้ส่วยเอี๊ย

          1. แจกันดอกไม้สด 1 คู่

          2. เทียนแดง 1 คู่

          3. ธูป 3 ดอก

          4. เทียงเถ่าจี้ 1 คู่

          5. หงิงเตี๋ย 13 ชุด

          6. กิมหงี่งเต้า 1 คู่

          7. อาหารเจ (เห็ดหอม เห้ดหูหนู จำไฉ่ วุ้นเส้น ฟองเต้าหู้) 5 อย่าง

          8. ถั่วลิสง 25 เม็ด

          9. พุทราแดง (อั่งจ้อ) 25 เม็ด

          10. ขนมโก๋ 5 ชิ้น

          11. น้ำชา 5 ถ้วย

          12. ข้าวสวย 5 ถ้วย

แก้ชง 2558 ไหว้พระเสริมดวงปี 2558 ปีชงปีมะแม


         ปีชวด : ปี นี้ท่านร่วมชงเล็กน้อย ตัวท่านอาจถูกให้ร้าย แต่มันก็แค่เรื่องนินทาผ่านหู ท่านควรไปนมัสการหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพมหานคร เคราะห์ของท่านก็จะเบาบางลง

          ปีฉลู : ปีนี้ท่านชงหนัก ท่านควรไปนมัสการขอพรพระพุทธเทววิลาส วัดเทพธิดารามวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เคราะห์ของท่านก็จะเบาบางลง

          ปีขาล : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพรหลวงพ่อโบสถ์บน วัดเศวตฉัตรวรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร

          ปีเถาะ : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพรหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร

          ปีมะโรง : ปี นี้ดวงท่านมีอุปสรรคควรไปนมัสการขอพรพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เคราะห์ของท่านก็จะเบาบางลง

          ปีมะเส็ง : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพรพระพุทธนฤมิตร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

          ปีมะเมีย : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพรพระพุทธอังคีรส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

          ปีมะแม : ปี นี้ปีมะแมจะถูกเอาเปรียบจากเพื่อนฝูงคนสนิท ปีนี้ท่านจึงควรไปไหว้หลวงพ่อโต  วัดขุนจันทร์ ตลาดพลู ธนบุรี กรุงเทพมหานคร เคราะห์ของท่านก็จะเบาบางลง

          ปีวอก : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพรพระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ วัดชนะสงคราม  เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

          ปีระกา : ปี นี้ท่านควรไปนมัสการขอพร พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย(หลวงพ่อหยก) วัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร สุขุมวิท ซอย ๑๐๑ (ปุณณวิถี ๒๐) ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร

          ปีจอ : ปีนี้ท่านจะมีดวงหมู่มิตรหมางเมิน มีคนคอยกลั่นแกล้ง ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพร พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ วัดอัปสรสวรรค์ เคราะห์ของท่านก็จะเบาบางลง

          ปีกุน : ปีนี้ท่านควรไปนมัสการขอพร พระพุทธไสยาสน์ วัดมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

ช่วงเวลาที่ควรไปนมัสการขอพรพระแก้ปีชง 2558

          15 ธันวาคม 2557-15 มกราคม 2558
          19 กุมภาพันธ์ 2558 -27 กุมภาพันธ์ 2558
          13 เมษายน 2558-15 เมษายน 2558
 ที่มา http://horoscope.kapook.com
https://www.facebook.com/1489117677982266/photos/a.1492564850970882.1073741827.1489117677982266/1611319682428731/?type=1&theater

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ... สุดยอดความงามและคุณค่าช่างศิลป์ไทย



วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ... สุดยอดความงามและคุณค่าช่างศิลป์ไทย
“วัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “วัดพระแก้ว” นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
วัดพระ แก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา
วัดนี้ อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่มีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส จึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
ภายหลัง จากการสถาปนาแล้ว วัดพระแก้วได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมือง จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425
ต่อมาใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี
ในรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ โดยมุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลป์ไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
 
กลุ่มพระอุโบสถ
กลุ่มพระ อุโบสถ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิ์ธาตุพิมาน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง และ หอพระคันธารราษฎร์
 

พระอุโบสถ
พระ อุโบสถ ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (แก้วมรกต) ที่พระองค์ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2322 (พบพระแก้วมรกต ครั้งแรกที่เจดีย์ ณ วัดพระแก้ว อ.เมือง จังหวัดเชียงราย)
พระ อุโบสถมีขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ผนังพระ อุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก
ฝาผนัง รอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ
ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ
พระ ทวารกลาง เป็นพระทวารใหญ่สูง 8 ศอกคืบ กว้าง 4 ศอกคืบ ตัวบานเป็นบานประดับมุกลายช่องกลม ส่วนพระทวารข้างเป็นทวารรองสูง 7 ศอก กว้าง 3 ศอก 1 คืบ 10 นิ้ว ตัวบานเป็นบานประดับมุกกลายเต็ม ซึ่งบานพระทวารทั้ง 2 แห่งนี้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นว่า "เป็นฝีมือที่น่าชมยิ่ง ตั้งใจทำแข่งกับบานที่ทำครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งอยู่ที่วิหารยอด"
ภายในพระ อุโบสถได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตั้งแต่เพดานถึงพื้น กลางห้องประดิษฐานพระแก้วมรกตในบุษบกทองคำพร้อมด้วยพระพุทธรูปสำคัญมากมาย
 

พระพุทธรูปสำคัญภายในพระอุโบสถ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ภายในพระ อุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กร หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสนตอนต้น ทำจากหินหยกสีเขียวเข้มทึบแสงเนื้อเดียวกันทั้งองค์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่อง ทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทอง ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐาน ชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี
พระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างอุทิศให้กับรัชกาลที่ 1 และ 2 ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง 3 เมตร ทรงเครื่องต้นพระจักรพรรดิราช เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มทองคำลงยาราชาวดี เครื่องต้นประดับเนาวรัตน์ ใช้ทองคำเท่ากับทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา
พระ สัมพุทธพรรณี รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างใน พ.ศ. 2373 ตามอย่างพุทธลักษณะที่พระองค์ทรงสอบสวนได้ สร้างจากกะไหล่ทองคำ ปางสมาธิหน้าตักกว้าง 49 ซม. สูงถึงพระรัศมี 67.5 ซม. มีการเปลี่ยนพระรัศมีเป็นสีต่าง ๆ ตามฤดูกาล พร้อมกับการเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต

ครุฑและนาค ที่บริเวณรอบนอกพระอุโบสถ และความงดงามอลังการของการประดับตกแต่งรอบพระอุโบสถ
 
เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว

หอราชกรมานุสรณ์และพงษานุสรณ์  สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔  ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว  ด้านหลังพระอุโบสถทางทิศเหนือ  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลต่างๆในสมัยอยุธยาหอหนึ่ง และในสมัยรัตนโกสินทร์อีกหอหนึ่ง  ภายในเขียนภาพพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฝีมือของขรัวอินโข่ง  จิตรกรไทยที่มีฝีมือดีที่สุดในสมัยนั้น
พระโพธิธาตุพิมาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔  ตั้งอยู่ระหว่างหอราชกรมานุสรและหอราชพงศานุสร    เป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากพุทธคยา
 
กลุ่มฐานไพที
กลุ่ม อาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่นๆเช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์
พระศรีรัตนเจดีย์ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีทางทิศตะวันตก สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เมื่อปี พ.ศ. 2398 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่พระราชวังกรุงศรีอยุธยา
องค์ เจดีย์มีความสูงประมาณ 40 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อสมัยแรกสร้างนั้นยังมิได้มิได้มีการประดับกระเบื้อง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) จึงได้มีการประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เจดีย์
 



พระมณฑป ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีตรงกลางระหว่างปราสาทพระเทพบิดรและพระศรีรัตนเจดีย์ เป็นมณฑปยอดปราสาทเจ็ดชั้น ฝาผนังภายนอกประดับลวดลายนูนต่ำปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนมภายในกรอบสี่ เหลี่ยม
บานประตู ทั้งสี่ทิศเป็นประตูลายมุก ส่วนของฐานนั้นทำเป็นชั้น โดยชั้นบนเป็นรูปเทพบุตรนั่งประนมกรเรียงระหว่างซุ้มประตู ส่วนด้านล่างเป็นรูปครุฑและคนธรรพ์นั่งสลับกัน ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานตู้พระไตรปิฎกประดับมุก และปูพื้นด้วยเสื่อสานด้วยเส้นลวดที่ทำจากเงิน
 

ความงดงามอลังการของศิลปะหลายแขนงของไทยที่รวมอยู่ในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในกลุ่มฐานไพธี
ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทเพียงองค์เดียวในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์มีนภศูล และมงกุฎอยู่บนยอด ประดับกระเบื้องเคลือบ องค์เดียวในประเทศไทย
ปราสาท พระเทพบิดร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมชื่อว่า พุทธปรางค์ปราสาท เมื่อแรกนั้นมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ แต่เมื่อสร้างเสร็จเห็นว่าคับแคบไม่เหมาะแก่การพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานดังพระราชดำริ



ในปี พ.ศ. 2446ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น ปราสาทพระเทพบิดร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปพระบูรพกษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 องค์มาไว้ ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็นวันจักรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา
จากนั้น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงค วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์ หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่างๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554  ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 8 แล้ว
 

สัตว์หิมพานต์
บนฐาน ไพทีด้านหน้า และรอบๆ ปราสาทพระเทพบิดรจะมีรูปหล่อโลหะเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ ซึ่งหล่อในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างเป็นคู่ ตัวผู้ตัวเมีย รวม 7 คู่ ดังนี้
1.อสูรวายุภักษ์ ท่อนบนเป็นยักษ์สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก สองมือกุมกะบองเกลียว ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
2.อัปสรสีห์ ท่อนบนเป็นนางอัปสร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ ยืนพนมมือ ตั้งอยู่เชิงบันไดกลางลานด้านหน้าปราสาทพระเทพบิดร
3.สิงหพานร ท่อนบนเป็นพระยาวานร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ สองมือถือกระบอง ตั้งอยู่ที่บันไดลานทักษิณด้านตะวันตก
4.กินนร และ กินรี ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว มือหนึ่งยกระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
5.เทพปักษี เป็นเทวดา มีปีกและหางเป็นนก มือข้างหนึ่งถือพระขรรค์ อีกข้างหนึ่งจีบระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
6.เทพนรสิงห์ ท่อนบนเป็นเทวดา ท่อนล่างเป็นราชสีห์ มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งถือกิ่งไม้ชูระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
7.อสูรปักษี ท่อนบนเป็นยักษ์ สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งผายออกด้านข้าง
นกตันติมา บริเวณวิหารยอด
กินนร สัตว์ป่าหิมพานต์ ครึ่งมนุษย์ ครึ่งนก
 
'นครวัดจำลอง' วัดพระแก้ว
รัชกาล ที่ 4 ท่านได้ทรงสั่งให้พระสามภพพ่ายไปทำการลอกแบบปราสาทนครวัดมา ซึ่งใช้เวลาเกือบ 4 เดือน สร้างจำลองไว้ที่วัดพระแก้วเพื่อให้คนไทยที่ไม่ได้มีโอกาสไปเมืองเขมรได้ เห็นกัน โดยใช้ซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างด้วยฝีมืออันประณีตยิ่ง แต่การก่อสร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมารัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จทันการเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ 100 ปี
 


พระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาล
ตั้งอยู่ รอบพระมณฑป สร้างในสมัยรัชกาลที่  5  เป็นบุษบกสร้างด้วยโลหะลงรักปิดทองประดับกระจก  รอบบุษบกประดับด้วยฉัตร  7  ชั้น  และ  5  ชั้น  และรูปช้างยืนแท่นหล่อด้วยโลหะรมดำ  ถือกันว่าเป็นช้างเผือกประจำรัชกาล  
ภายใน บุษบกประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์  ดังนี้  ด้านตะวันตกเฉียงเหนือเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  1  ถึงรัชกาลที่  3  ด้านตะวันตกเฉียงใต้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  4  ด้านตะวันออกเฉียงใต้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  5  และในการปฏิสังขรณ์ใหญ่เนื่องในการสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์  200  ปีได้สร้างบุษบกพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  6  ถึงรัชกาลปัจจุบันเพิ่มขึ้น  โดยประดิษฐานไว้ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
 

กลุ่มอาคารประกอบ
เป็น กลุ่มอาคารและสิ่งประดับอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มอาคารทั้งสองกลุ่ม ประกอบด้วย หอพระนาก พระเศวตกุฏาคารวิหารยอด หอมณเฑียรธรรม พระอัษฎามหาเจดีย์

พระวิหารยอด
อยู่ ระหว่างหอมณเฑียรธรรมและหอพระนาก   พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นแทนที่หอพระเทพบิดร  เรียกกันเป็นสามัญว่า  วิหารขาว  เป็นหอที่ใช้ประดิษฐานพระเทพบิดร  พระนาก   และพระแท่นมนังคศิลาของพ่อขุนรามคำแหง 
ลักษณะ ของพระวิหารยอดเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 10.35 เมตร ยาว 10.50 เมตร มีทางเข้า  3  ทาง  คือ ทิศเหนือ  ทิศตะวันออก  ทิศตะวันตก บันไดปูด้วยหินทราย  3  ขั้น  สองข้างบันไดประดับด้วยนกทัณฑิมาสัมริด  ยืนถือกระบอง 
พนัก ระเบียงประดับกระเบื้องปรุเคลือบแบบจีน  ประตูเป็นซุ้มยอดทรงมงกุฏประดับกระเบื้องถ้วย  บานประตูประดับมุข  บานด้านในเขียนลายรดน้ำรูปเซี่ยวกางแต่งกายแบบไทย  เป็นบานประตูที่นำมาจากวิหารพระนอน วัดป่าโมก  จ.อ่างทอง  
เสาอิง และเสาจตุรมุขทั้ง 4 ด้านประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเป็นรูปบัวจงกล  ซุ้มผนังเป็นช่องโค้งทรงแหลมแบบคูหาหน้านางประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเป็น ลายดอกไม้ใบไม้    ยอดซุ้มเป็นพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.”อยู่ใต้พระเกี้ยวยอด    ซุ้มหน้าต่างยอดทรงมงกุฏทุกช่วงเสาประดับกระเบื้องถ้วย  หลังคาเป็นทรงยอดมงกุฏ  หน้าบันทั้ง 4 ด้านประดับกระเบื้องถ้วย  ยอดซุ้มเป็นปลีประดับกระจกสี  มียอดนพศูลเป็นโลหะฉลุโปร่งลายพุ่มข้าวบิณฑ์  หลังคามุขลดสองชั้น  มุงด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบ  ประดับด้วยช่อฟ้า  ใบระกา  หางหงส์รูปนกเจ่า  และนาคสะดุ้ง
 

หอคันธารราษฎร์
หอคันธาร ราษฎร์เป็นที่ประดิษฐานพระคันธารราษฎร์และพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ของพระ ร่วง    สร้างในสมัยรัชกาลที่  4  เป็นอาคารทรงไทยขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  กว้าง  4.65  เมตร  ยาว  5.75  เมตร  ตั้งอยู่มุมขวามือหน้าพระอุโบสถ   มีบันไดหินอ่อน  5  ขั้น  ขึ้นฐานไพทีมีบันได  3  ขั้น  ขึ้นฐานปัทม์สู่หอพระ  บันไดเป็นรูปพญานาคตรงหัวเสาบนฐานไพที  ตั้งสิงโตจำหลักหินแบบจีน 
โดยรอบ พนักระเบียงเป็นรูปกรงลูกแก้วกระเบื้องเคลือบ  มีเสาตามประทีปสูง  2  เสา  ทำด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นปล้องต่อกันมุขทิศตะวันออกและตะวันตกเป็นหน้าต่าง ทรงบันแถลง  2  ชั้น  มีช่อฟ้าและหางหงส์เป็นหัวนาค  ประดับกระเบื้องถ้วยผูกลายเป็นดอกไม้สีต่าง ๆ  บนพื้นกระจกสีน้ำเงิน  บานหน้าต่างไม้ด้านนอกจำหลักลายเป็นรูปพระวรุณทรงนาค  ตอนล่างเป็นรวงข้าว มีหอย  ปู  ปลา ผุดอยู่ในท้องน้ำ
หลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผา  ขอบหลังคาสีแดง  พื้นหลังคาสีเขียว  หลังคาทรงบันแถลง  2  ชั้น  ประดับช่อฟ้ารูปหัวนาค  ใบระกา  หางหงส์    หน้าบันประดับกระเบื้องถ้วยสีลายดอกพุดตาน  ซุ้มยอดปรางค์เป็นซุ้มย่อเก็จโดยรอบ  ยอดปรางค์ซ้อนกัน  8  ชั้น  ประดับกระเบื้องถ้วยสี  ยอดนพศูลเป็นโลหะรูปฝักเพกา ผนังอาคารบุด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินสลับเหลือง   มุมเสาอิงประดับกระเบื้องสี  ขอบเสาประดับกระเบื้องถ้วยเป็นลายรักร้อย  โคนเสารูปกาบพรหมศร  มีบัวปลายเสา  เขียนภาพจิตรกรรมเรื่องพระราชพืธีพืชมงคลจรดพระนางคัลแรกนาขวัญและพิรุณ ศาสตร์ภายในผนังด้านใน
หอระฆัง
ตั้งอยู่ บนฐานทักษิณ  หอระฆังเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส  กว้าง  7  เมตร  ยาว  8  เมตร   เป็นบุษบกทรงมงกุฏ    หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบ  ปูขอบหลังคาสีเขียวโดยรอบ  พื้นหลังคาสีแดง    มีประตูทางเข้า  4  ด้าน เป็นซุ้มจระนำรูปโค้งแหลมประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ  ตอนบนซุ้มเป็นทรงบันแถลงนาค  3  เศียร  2  ชั้น  มีช่อฟ้าและหางหงส์รูปหัวนาค 
กรอบ ประตูเป็นไม้ทาสีเขียว  ผนังฐานทักษิณประดับด้วยกระเบื้องก้นถ้วย  รูปกลมสีขาวเป็นพื้น  ประดับกระเบื้องถ้วยแต่งดอก  ตอนล่างทำเป็นบัวหัวเสา  ตอนบนเป็นบัวปลายเสา  ประดับกระเบื้องถ้วยขอบนอกเป็นลายรักร้อย    บุษบกประดิษฐานระฆังอยู่บนฐานเขียงและฐานสิงห์  2  ชั้น  คั่นด้วยกระดานฐานบัว  ส่วนย่อมุมไม้สิบสองเป็นไม้ปิดทองประดับกระจก  ฐานเสาเป็นกาบพรหมศร  หัวเสามีคันทวยรับชายคาโดยรอบ  ตอนบนระหว่างเสาประดับด้วยสาหร่ายรวงผึ้ง  ปลายเป็นพญานาคปิดทอง  ตอนล่างของเสาประดับด้วยกระจังปูนปั้นประดับกระจก  เพดานปิดทองฉลุลายเป็นรูปดาว  แขวนระฆังไว้ตรงกลางเพดานบุษบก


ยักษ์ ทวารบาล : “ยักษ์” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี เป็นความเชื่อของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเชื่อว่ายักษ์มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา ยักษ์ชั้นกลางส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบนิสัยดุร้าย
ยักษ์วัด พระแก้ว  ทำเป็นรูปปูนปั้นสูงประมาณ ๖ เมตร     ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆอย่างงดงาม  ยืนกุมกระบองอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรงกับทิศใต้ทางขึ้นปราสาทพระเทพ บิดรเป็นคู่ๆ  ประจำเรียงรายไปทางซ้ายมือทุกช่องประตูพระระเบียงคดรวม ๖ คู่ด้วยกัน  คือ
ตัวที่ ๑      ชื่อสุริยาภพ   กายสีแดงชาด บุตรท้าวจักรวรรดิ   แห่งกรุงมลิวัน
ตัวที่ ๒     ชื่ออิทรชิต   กายสีเขียว บุตรทศกัณฐ์   แห่งกรุงลงกา
ตัวที่ ๓     ชื่อมังกรกัณฑ์  กายสีเขียว  บุตรพญาขร  พญายักษ์แห่งโรมคัล
ตัวที่ ๔    ชื่อวิรุฬหก  กายสีขาบหรือสีน้ำเงินแก่  พญารากษส  แห่งมหาอันธกาลนคร
ตัวที่ ๕     ชื่อทศคิรีธร  กายสีหงดิน  หรือสีหม้อใหม่ ปลายจมูกเป็นงวงช้าง บุตรทศกัณฐ์กับนางช้างท้าวอัศกรรณมาลาสูร เจ้าเมืองดุรัม  ขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
ตัวที่ ๖      ชื่อทศคิรีวัน  กายสีเขียว ปลายจมูกเป็นงวงช้าง บุตรทศกัณฐ์  พี่น้องฝาแฝดกับทศคิรีธร
รูปปั้น ยักษ์แบกเจดีย์ในวัด … ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะ ยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรมจึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธ ศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึงผู้แบกสรวงสวรรค์และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้ม ครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
 

จิตรกรรม ฝาผนังที่ พระระเบียง หรือ ระเบียงคดรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีจำนวนภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ มีเนื้อหาจากมหากาพย์วรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์
จิตรกรรม ฝาผนังเหล่านี้สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยมีการเขียนซ่อมแซมเพิ่มเติมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้บูรณะในโอกาสครบรอบ 100 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ ในการนี้ได้ทรงพระนิพนธ์โคลงประกอบภาพไว้จำนวนแปดห้อง เป็นโคลง 224 บท
 ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงอารมย์ขันของช่าง ... อยู่ ณ มุมหนึ่ง
หกคุณมีเวลาพอ ลองห่ดูว่ามีภาพทำนองนี้อีกกี่ภาพ ... หากเจอช่วยนำมาแบ่งปันกันด้วยนะคะ จะได้ตามไปชม
พระอัษฎามหาเจดีย์ หรือพระปรางค์แปดองค์
ตั้ง เรียงรายอยู่ด้านนอกพระอาราม   พระปรางค์  8  องค์ เส้นผ่าศูนย์กลาง  9.40  เมตร  ตั้งเรียงรายอยู่ทางทิศตะว้นออกด้านหน้าวัด  เดิมพระปรางค์ทั้ง  8 องค์จะตั้งเรียงกันอยู่นอกพระระเบียงเป็นแถวเดียวกัน  ต่อมารัชกาลที่  4  ทรงโปรดให้ขยายพระวิหารคดยื่นออกไปทางทิศตะวันออก  เพื่อสร้างซุ้มประตูมงกุฏ  และให้มีเกยอยู่  2  ด้าน   สำหรับเสด็จบนพระยานุมาศในพระราชพิธีการที่มีการเสด็จโดยทาง

สถลมารค 
เมื่อ ขยายวิหารคดออกไปจึงทำให้พระปรางค์  8  องค์เข้ามาอยู่ในกำแพงวิหารคด  คือ  พระอริยะสงฆ์สาวกมหาเจดีย์  พระปรางค์สีชมพู  พระอริยสาวกภิกษุณีสังฆมหาเจดีย์  พระปรางค์สีเขียว  ลักษณะของปรางค์ คือ ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม  ก่ออิฐฉาบปูน  องค์ปรางค์ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสี  มียักษ์ปูนปั้นแบกพระปรางค์ไว้โดยรวมทั้ง  4  ทิศ  นับเป็นศิลปะชั้นสูง  พระปรางค์ทั้ง  8  องค์สร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา  จึงมีชื่อเรียกเรียงตามาลำดับนับจากทิศเหนือลงมาทิศใต้  ดังนี้
 ปรางค์องค์สีขาว  ชื่อ  พระสัมมาสัมพุทธมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ปรางค์สีขาบหรือสีฟ้าหม่น  ชิ่อ  พระสัทธรรมปริยัติวรมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระธรรม
 ปรางค์สีชมพู ชื่อ  พระอริยสงฆ์สาวกมหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระอริยสงฆ์
 ปรางค์สีเขียว ชื่อ  พระอริยสาวิกาภิกษุสังฆมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระภิกษุณี
 ปรางค์สีเทา ชื่อ  พระปัจเจกโพธิสัมพุทธมหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ
 ปรางค์สีฟ้าอมเทา ชื่อ  พระบรมจักรวรรดิราชามหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระมหากษัตริย์
 ปรางค์สีแดง ชื่อ  พระโพธิสัตว์กฤษฎามหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์
 ปรางค์สีเหลือง ชื่อ  พระศรีอริยเมตตะมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอนาคต
นอกจาก ที่กล่วมข้างต้นแล้ว วัดพระแก้วยังมีอาคารสิ่งก่อสร้างอีกหลายแห่ง รวมถึงเครื่องประดับพระอาราม ที่ไม่ได้เขียนถึง เช่น หอพระนาก หอมณเฑียรธรรม กระถางต้นไม้น้ำ แท่นหิน ไม้ดัดไทย อับเฉา วางประดับเรียงรายอยู่โดยรอบ

Source : Wikipedia & http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watprasiratana.php
http://www.lib.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=17&Itemid=18




https://www.facebook.com/1489117677982266/photos/a.1492564850970882.1073741827.1489117677982266/1611319682428731/?type=1&theater