วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ... สุดยอดความงามและคุณค่าช่างศิลป์ไทย



วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ... สุดยอดความงามและคุณค่าช่างศิลป์ไทย
“วัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “วัดพระแก้ว” นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
วัดพระ แก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา
วัดนี้ อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่มีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส จึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
ภายหลัง จากการสถาปนาแล้ว วัดพระแก้วได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมือง จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425
ต่อมาใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี
ในรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ โดยมุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลป์ไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
 
กลุ่มพระอุโบสถ
กลุ่มพระ อุโบสถ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิ์ธาตุพิมาน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง และ หอพระคันธารราษฎร์
 

พระอุโบสถ
พระ อุโบสถ ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (แก้วมรกต) ที่พระองค์ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2322 (พบพระแก้วมรกต ครั้งแรกที่เจดีย์ ณ วัดพระแก้ว อ.เมือง จังหวัดเชียงราย)
พระ อุโบสถมีขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ผนังพระ อุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก
ฝาผนัง รอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ
ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ
พระ ทวารกลาง เป็นพระทวารใหญ่สูง 8 ศอกคืบ กว้าง 4 ศอกคืบ ตัวบานเป็นบานประดับมุกลายช่องกลม ส่วนพระทวารข้างเป็นทวารรองสูง 7 ศอก กว้าง 3 ศอก 1 คืบ 10 นิ้ว ตัวบานเป็นบานประดับมุกกลายเต็ม ซึ่งบานพระทวารทั้ง 2 แห่งนี้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นว่า "เป็นฝีมือที่น่าชมยิ่ง ตั้งใจทำแข่งกับบานที่ทำครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งอยู่ที่วิหารยอด"
ภายในพระ อุโบสถได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตั้งแต่เพดานถึงพื้น กลางห้องประดิษฐานพระแก้วมรกตในบุษบกทองคำพร้อมด้วยพระพุทธรูปสำคัญมากมาย
 

พระพุทธรูปสำคัญภายในพระอุโบสถ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ภายในพระ อุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร กร หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสนตอนต้น ทำจากหินหยกสีเขียวเข้มทึบแสงเนื้อเดียวกันทั้งองค์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่อง ทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทอง ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐาน ชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี
พระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างอุทิศให้กับรัชกาลที่ 1 และ 2 ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง 3 เมตร ทรงเครื่องต้นพระจักรพรรดิราช เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มทองคำลงยาราชาวดี เครื่องต้นประดับเนาวรัตน์ ใช้ทองคำเท่ากับทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา
พระ สัมพุทธพรรณี รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างใน พ.ศ. 2373 ตามอย่างพุทธลักษณะที่พระองค์ทรงสอบสวนได้ สร้างจากกะไหล่ทองคำ ปางสมาธิหน้าตักกว้าง 49 ซม. สูงถึงพระรัศมี 67.5 ซม. มีการเปลี่ยนพระรัศมีเป็นสีต่าง ๆ ตามฤดูกาล พร้อมกับการเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต

ครุฑและนาค ที่บริเวณรอบนอกพระอุโบสถ และความงดงามอลังการของการประดับตกแต่งรอบพระอุโบสถ
 
เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว

หอราชกรมานุสรณ์และพงษานุสรณ์  สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔  ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว  ด้านหลังพระอุโบสถทางทิศเหนือ  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลต่างๆในสมัยอยุธยาหอหนึ่ง และในสมัยรัตนโกสินทร์อีกหอหนึ่ง  ภายในเขียนภาพพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฝีมือของขรัวอินโข่ง  จิตรกรไทยที่มีฝีมือดีที่สุดในสมัยนั้น
พระโพธิธาตุพิมาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔  ตั้งอยู่ระหว่างหอราชกรมานุสรและหอราชพงศานุสร    เป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากพุทธคยา
 
กลุ่มฐานไพที
กลุ่ม อาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่นๆเช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์
พระศรีรัตนเจดีย์ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีทางทิศตะวันตก สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เมื่อปี พ.ศ. 2398 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่พระราชวังกรุงศรีอยุธยา
องค์ เจดีย์มีความสูงประมาณ 40 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อสมัยแรกสร้างนั้นยังมิได้มิได้มีการประดับกระเบื้อง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) จึงได้มีการประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เจดีย์
 



พระมณฑป ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีตรงกลางระหว่างปราสาทพระเทพบิดรและพระศรีรัตนเจดีย์ เป็นมณฑปยอดปราสาทเจ็ดชั้น ฝาผนังภายนอกประดับลวดลายนูนต่ำปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนมภายในกรอบสี่ เหลี่ยม
บานประตู ทั้งสี่ทิศเป็นประตูลายมุก ส่วนของฐานนั้นทำเป็นชั้น โดยชั้นบนเป็นรูปเทพบุตรนั่งประนมกรเรียงระหว่างซุ้มประตู ส่วนด้านล่างเป็นรูปครุฑและคนธรรพ์นั่งสลับกัน ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานตู้พระไตรปิฎกประดับมุก และปูพื้นด้วยเสื่อสานด้วยเส้นลวดที่ทำจากเงิน
 

ความงดงามอลังการของศิลปะหลายแขนงของไทยที่รวมอยู่ในงานประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมในกลุ่มฐานไพธี
ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทเพียงองค์เดียวในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์มีนภศูล และมงกุฎอยู่บนยอด ประดับกระเบื้องเคลือบ องค์เดียวในประเทศไทย
ปราสาท พระเทพบิดร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมชื่อว่า พุทธปรางค์ปราสาท เมื่อแรกนั้นมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ แต่เมื่อสร้างเสร็จเห็นว่าคับแคบไม่เหมาะแก่การพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานดังพระราชดำริ



ในปี พ.ศ. 2446ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น ปราสาทพระเทพบิดร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปพระบูรพกษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 องค์มาไว้ ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็นวันจักรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา
จากนั้น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงค วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์ หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่างๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554  ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 8 แล้ว
 

สัตว์หิมพานต์
บนฐาน ไพทีด้านหน้า และรอบๆ ปราสาทพระเทพบิดรจะมีรูปหล่อโลหะเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ ซึ่งหล่อในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างเป็นคู่ ตัวผู้ตัวเมีย รวม 7 คู่ ดังนี้
1.อสูรวายุภักษ์ ท่อนบนเป็นยักษ์สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก สองมือกุมกะบองเกลียว ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
2.อัปสรสีห์ ท่อนบนเป็นนางอัปสร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ ยืนพนมมือ ตั้งอยู่เชิงบันไดกลางลานด้านหน้าปราสาทพระเทพบิดร
3.สิงหพานร ท่อนบนเป็นพระยาวานร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ สองมือถือกระบอง ตั้งอยู่ที่บันไดลานทักษิณด้านตะวันตก
4.กินนร และ กินรี ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว มือหนึ่งยกระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
5.เทพปักษี เป็นเทวดา มีปีกและหางเป็นนก มือข้างหนึ่งถือพระขรรค์ อีกข้างหนึ่งจีบระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
6.เทพนรสิงห์ ท่อนบนเป็นเทวดา ท่อนล่างเป็นราชสีห์ มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งถือกิ่งไม้ชูระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
7.อสูรปักษี ท่อนบนเป็นยักษ์ สวมมงกุฎ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว อีกมือหนึ่งผายออกด้านข้าง
นกตันติมา บริเวณวิหารยอด
กินนร สัตว์ป่าหิมพานต์ ครึ่งมนุษย์ ครึ่งนก
 
'นครวัดจำลอง' วัดพระแก้ว
รัชกาล ที่ 4 ท่านได้ทรงสั่งให้พระสามภพพ่ายไปทำการลอกแบบปราสาทนครวัดมา ซึ่งใช้เวลาเกือบ 4 เดือน สร้างจำลองไว้ที่วัดพระแก้วเพื่อให้คนไทยที่ไม่ได้มีโอกาสไปเมืองเขมรได้ เห็นกัน โดยใช้ซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างด้วยฝีมืออันประณีตยิ่ง แต่การก่อสร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมารัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จทันการเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ 100 ปี
 


พระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาล
ตั้งอยู่ รอบพระมณฑป สร้างในสมัยรัชกาลที่  5  เป็นบุษบกสร้างด้วยโลหะลงรักปิดทองประดับกระจก  รอบบุษบกประดับด้วยฉัตร  7  ชั้น  และ  5  ชั้น  และรูปช้างยืนแท่นหล่อด้วยโลหะรมดำ  ถือกันว่าเป็นช้างเผือกประจำรัชกาล  
ภายใน บุษบกประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์  ดังนี้  ด้านตะวันตกเฉียงเหนือเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  1  ถึงรัชกาลที่  3  ด้านตะวันตกเฉียงใต้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  4  ด้านตะวันออกเฉียงใต้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  5  และในการปฏิสังขรณ์ใหญ่เนื่องในการสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์  200  ปีได้สร้างบุษบกพระบรมราชานุสาวรีย์ในรัชกาลที่  6  ถึงรัชกาลปัจจุบันเพิ่มขึ้น  โดยประดิษฐานไว้ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
 

กลุ่มอาคารประกอบ
เป็น กลุ่มอาคารและสิ่งประดับอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มอาคารทั้งสองกลุ่ม ประกอบด้วย หอพระนาก พระเศวตกุฏาคารวิหารยอด หอมณเฑียรธรรม พระอัษฎามหาเจดีย์

พระวิหารยอด
อยู่ ระหว่างหอมณเฑียรธรรมและหอพระนาก   พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นแทนที่หอพระเทพบิดร  เรียกกันเป็นสามัญว่า  วิหารขาว  เป็นหอที่ใช้ประดิษฐานพระเทพบิดร  พระนาก   และพระแท่นมนังคศิลาของพ่อขุนรามคำแหง 
ลักษณะ ของพระวิหารยอดเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 10.35 เมตร ยาว 10.50 เมตร มีทางเข้า  3  ทาง  คือ ทิศเหนือ  ทิศตะวันออก  ทิศตะวันตก บันไดปูด้วยหินทราย  3  ขั้น  สองข้างบันไดประดับด้วยนกทัณฑิมาสัมริด  ยืนถือกระบอง 
พนัก ระเบียงประดับกระเบื้องปรุเคลือบแบบจีน  ประตูเป็นซุ้มยอดทรงมงกุฏประดับกระเบื้องถ้วย  บานประตูประดับมุข  บานด้านในเขียนลายรดน้ำรูปเซี่ยวกางแต่งกายแบบไทย  เป็นบานประตูที่นำมาจากวิหารพระนอน วัดป่าโมก  จ.อ่างทอง  
เสาอิง และเสาจตุรมุขทั้ง 4 ด้านประดับด้วยกระเบื้องถ้วยเป็นรูปบัวจงกล  ซุ้มผนังเป็นช่องโค้งทรงแหลมแบบคูหาหน้านางประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเป็น ลายดอกไม้ใบไม้    ยอดซุ้มเป็นพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.”อยู่ใต้พระเกี้ยวยอด    ซุ้มหน้าต่างยอดทรงมงกุฏทุกช่วงเสาประดับกระเบื้องถ้วย  หลังคาเป็นทรงยอดมงกุฏ  หน้าบันทั้ง 4 ด้านประดับกระเบื้องถ้วย  ยอดซุ้มเป็นปลีประดับกระจกสี  มียอดนพศูลเป็นโลหะฉลุโปร่งลายพุ่มข้าวบิณฑ์  หลังคามุขลดสองชั้น  มุงด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบ  ประดับด้วยช่อฟ้า  ใบระกา  หางหงส์รูปนกเจ่า  และนาคสะดุ้ง
 

หอคันธารราษฎร์
หอคันธาร ราษฎร์เป็นที่ประดิษฐานพระคันธารราษฎร์และพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ของพระ ร่วง    สร้างในสมัยรัชกาลที่  4  เป็นอาคารทรงไทยขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  กว้าง  4.65  เมตร  ยาว  5.75  เมตร  ตั้งอยู่มุมขวามือหน้าพระอุโบสถ   มีบันไดหินอ่อน  5  ขั้น  ขึ้นฐานไพทีมีบันได  3  ขั้น  ขึ้นฐานปัทม์สู่หอพระ  บันไดเป็นรูปพญานาคตรงหัวเสาบนฐานไพที  ตั้งสิงโตจำหลักหินแบบจีน 
โดยรอบ พนักระเบียงเป็นรูปกรงลูกแก้วกระเบื้องเคลือบ  มีเสาตามประทีปสูง  2  เสา  ทำด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นปล้องต่อกันมุขทิศตะวันออกและตะวันตกเป็นหน้าต่าง ทรงบันแถลง  2  ชั้น  มีช่อฟ้าและหางหงส์เป็นหัวนาค  ประดับกระเบื้องถ้วยผูกลายเป็นดอกไม้สีต่าง ๆ  บนพื้นกระจกสีน้ำเงิน  บานหน้าต่างไม้ด้านนอกจำหลักลายเป็นรูปพระวรุณทรงนาค  ตอนล่างเป็นรวงข้าว มีหอย  ปู  ปลา ผุดอยู่ในท้องน้ำ
หลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผา  ขอบหลังคาสีแดง  พื้นหลังคาสีเขียว  หลังคาทรงบันแถลง  2  ชั้น  ประดับช่อฟ้ารูปหัวนาค  ใบระกา  หางหงส์    หน้าบันประดับกระเบื้องถ้วยสีลายดอกพุดตาน  ซุ้มยอดปรางค์เป็นซุ้มย่อเก็จโดยรอบ  ยอดปรางค์ซ้อนกัน  8  ชั้น  ประดับกระเบื้องถ้วยสี  ยอดนพศูลเป็นโลหะรูปฝักเพกา ผนังอาคารบุด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินสลับเหลือง   มุมเสาอิงประดับกระเบื้องสี  ขอบเสาประดับกระเบื้องถ้วยเป็นลายรักร้อย  โคนเสารูปกาบพรหมศร  มีบัวปลายเสา  เขียนภาพจิตรกรรมเรื่องพระราชพืธีพืชมงคลจรดพระนางคัลแรกนาขวัญและพิรุณ ศาสตร์ภายในผนังด้านใน
หอระฆัง
ตั้งอยู่ บนฐานทักษิณ  หอระฆังเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส  กว้าง  7  เมตร  ยาว  8  เมตร   เป็นบุษบกทรงมงกุฏ    หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบ  ปูขอบหลังคาสีเขียวโดยรอบ  พื้นหลังคาสีแดง    มีประตูทางเข้า  4  ด้าน เป็นซุ้มจระนำรูปโค้งแหลมประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ  ตอนบนซุ้มเป็นทรงบันแถลงนาค  3  เศียร  2  ชั้น  มีช่อฟ้าและหางหงส์รูปหัวนาค 
กรอบ ประตูเป็นไม้ทาสีเขียว  ผนังฐานทักษิณประดับด้วยกระเบื้องก้นถ้วย  รูปกลมสีขาวเป็นพื้น  ประดับกระเบื้องถ้วยแต่งดอก  ตอนล่างทำเป็นบัวหัวเสา  ตอนบนเป็นบัวปลายเสา  ประดับกระเบื้องถ้วยขอบนอกเป็นลายรักร้อย    บุษบกประดิษฐานระฆังอยู่บนฐานเขียงและฐานสิงห์  2  ชั้น  คั่นด้วยกระดานฐานบัว  ส่วนย่อมุมไม้สิบสองเป็นไม้ปิดทองประดับกระจก  ฐานเสาเป็นกาบพรหมศร  หัวเสามีคันทวยรับชายคาโดยรอบ  ตอนบนระหว่างเสาประดับด้วยสาหร่ายรวงผึ้ง  ปลายเป็นพญานาคปิดทอง  ตอนล่างของเสาประดับด้วยกระจังปูนปั้นประดับกระจก  เพดานปิดทองฉลุลายเป็นรูปดาว  แขวนระฆังไว้ตรงกลางเพดานบุษบก


ยักษ์ ทวารบาล : “ยักษ์” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี เป็นความเชื่อของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเชื่อว่ายักษ์มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา ยักษ์ชั้นกลางส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบนิสัยดุร้าย
ยักษ์วัด พระแก้ว  ทำเป็นรูปปูนปั้นสูงประมาณ ๖ เมตร     ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆอย่างงดงาม  ยืนกุมกระบองอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรงกับทิศใต้ทางขึ้นปราสาทพระเทพ บิดรเป็นคู่ๆ  ประจำเรียงรายไปทางซ้ายมือทุกช่องประตูพระระเบียงคดรวม ๖ คู่ด้วยกัน  คือ
ตัวที่ ๑      ชื่อสุริยาภพ   กายสีแดงชาด บุตรท้าวจักรวรรดิ   แห่งกรุงมลิวัน
ตัวที่ ๒     ชื่ออิทรชิต   กายสีเขียว บุตรทศกัณฐ์   แห่งกรุงลงกา
ตัวที่ ๓     ชื่อมังกรกัณฑ์  กายสีเขียว  บุตรพญาขร  พญายักษ์แห่งโรมคัล
ตัวที่ ๔    ชื่อวิรุฬหก  กายสีขาบหรือสีน้ำเงินแก่  พญารากษส  แห่งมหาอันธกาลนคร
ตัวที่ ๕     ชื่อทศคิรีธร  กายสีหงดิน  หรือสีหม้อใหม่ ปลายจมูกเป็นงวงช้าง บุตรทศกัณฐ์กับนางช้างท้าวอัศกรรณมาลาสูร เจ้าเมืองดุรัม  ขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
ตัวที่ ๖      ชื่อทศคิรีวัน  กายสีเขียว ปลายจมูกเป็นงวงช้าง บุตรทศกัณฐ์  พี่น้องฝาแฝดกับทศคิรีธร
รูปปั้น ยักษ์แบกเจดีย์ในวัด … ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะ ยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรมจึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธ ศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึงผู้แบกสรวงสวรรค์และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้ม ครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
 

จิตรกรรม ฝาผนังที่ พระระเบียง หรือ ระเบียงคดรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีจำนวนภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ มีเนื้อหาจากมหากาพย์วรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์
จิตรกรรม ฝาผนังเหล่านี้สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยมีการเขียนซ่อมแซมเพิ่มเติมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้บูรณะในโอกาสครบรอบ 100 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ ในการนี้ได้ทรงพระนิพนธ์โคลงประกอบภาพไว้จำนวนแปดห้อง เป็นโคลง 224 บท
 ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงอารมย์ขันของช่าง ... อยู่ ณ มุมหนึ่ง
หกคุณมีเวลาพอ ลองห่ดูว่ามีภาพทำนองนี้อีกกี่ภาพ ... หากเจอช่วยนำมาแบ่งปันกันด้วยนะคะ จะได้ตามไปชม
พระอัษฎามหาเจดีย์ หรือพระปรางค์แปดองค์
ตั้ง เรียงรายอยู่ด้านนอกพระอาราม   พระปรางค์  8  องค์ เส้นผ่าศูนย์กลาง  9.40  เมตร  ตั้งเรียงรายอยู่ทางทิศตะว้นออกด้านหน้าวัด  เดิมพระปรางค์ทั้ง  8 องค์จะตั้งเรียงกันอยู่นอกพระระเบียงเป็นแถวเดียวกัน  ต่อมารัชกาลที่  4  ทรงโปรดให้ขยายพระวิหารคดยื่นออกไปทางทิศตะวันออก  เพื่อสร้างซุ้มประตูมงกุฏ  และให้มีเกยอยู่  2  ด้าน   สำหรับเสด็จบนพระยานุมาศในพระราชพิธีการที่มีการเสด็จโดยทาง

สถลมารค 
เมื่อ ขยายวิหารคดออกไปจึงทำให้พระปรางค์  8  องค์เข้ามาอยู่ในกำแพงวิหารคด  คือ  พระอริยะสงฆ์สาวกมหาเจดีย์  พระปรางค์สีชมพู  พระอริยสาวกภิกษุณีสังฆมหาเจดีย์  พระปรางค์สีเขียว  ลักษณะของปรางค์ คือ ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม  ก่ออิฐฉาบปูน  องค์ปรางค์ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสี  มียักษ์ปูนปั้นแบกพระปรางค์ไว้โดยรวมทั้ง  4  ทิศ  นับเป็นศิลปะชั้นสูง  พระปรางค์ทั้ง  8  องค์สร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา  จึงมีชื่อเรียกเรียงตามาลำดับนับจากทิศเหนือลงมาทิศใต้  ดังนี้
 ปรางค์องค์สีขาว  ชื่อ  พระสัมมาสัมพุทธมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ปรางค์สีขาบหรือสีฟ้าหม่น  ชิ่อ  พระสัทธรรมปริยัติวรมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระธรรม
 ปรางค์สีชมพู ชื่อ  พระอริยสงฆ์สาวกมหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระอริยสงฆ์
 ปรางค์สีเขียว ชื่อ  พระอริยสาวิกาภิกษุสังฆมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระภิกษุณี
 ปรางค์สีเทา ชื่อ  พระปัจเจกโพธิสัมพุทธมหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ
 ปรางค์สีฟ้าอมเทา ชื่อ  พระบรมจักรวรรดิราชามหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระมหากษัตริย์
 ปรางค์สีแดง ชื่อ  พระโพธิสัตว์กฤษฎามหาเจดีย์ อุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์
 ปรางค์สีเหลือง ชื่อ  พระศรีอริยเมตตะมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอนาคต
นอกจาก ที่กล่วมข้างต้นแล้ว วัดพระแก้วยังมีอาคารสิ่งก่อสร้างอีกหลายแห่ง รวมถึงเครื่องประดับพระอาราม ที่ไม่ได้เขียนถึง เช่น หอพระนาก หอมณเฑียรธรรม กระถางต้นไม้น้ำ แท่นหิน ไม้ดัดไทย อับเฉา วางประดับเรียงรายอยู่โดยรอบ

Source : Wikipedia & http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watprasiratana.php
http://www.lib.su.ac.th/web-temple/index.php?option=com_content&view=article&id=17&Itemid=18




https://www.facebook.com/1489117677982266/photos/a.1492564850970882.1073741827.1489117677982266/1611319682428731/?type=1&theater

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น